หลวงพ่อชม วัดเขาดิน

วัดวรนายกรังสรรค์เจติบรรพตาราม (วัดเขาดิน)
ต.เขาดิน อ.บางปนะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อชม กัสโป เดิมชื่อ ชม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๕ คน ของโยมบิดา นิ่ม และ โยมมารดา เชย ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงทำให้ในตระกูลของท่านไม่ปรากฏนามสกุล (ณ ตอนนั้น) ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐ แม้ท่านจะเป็นคนบางเดื่อ คือเกิดที่บ้านบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ท่านก็อยู่ไม่ไกลจาก วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อยังเล็กท่านจึงได้มาเรียนหนังสือที่วัดสะแกจนจบ ป.๔ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีวิทยฐานะดีแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสะแกนั่นเอง และนี่คือการบวชครั้งแรกในชีวิต ซึ่งท่านไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยในขณะนั้นว่าท่านจะไม่ได้สึกอีกตลอดไปขณะเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสะแก ช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของปรมาจารย์ทางไสยเวทย์ที่หาตัวจับยากในอยุธยาคนหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ตอนที่เด็กชายชมเป็นสามเณรก็ให้บังเอิญที่อาจารย์เฮงกำลังบวชพระอยู่พอดี ท่านจึงได้เห็น ได้รู้ ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุเฮงตลอดมา
จวบจนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถวัดแก โดยมี ท่านพระครูอุทัยคณารักษ์ (แด่) วัดสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระโบราณคณิสสร (ใหญ่ ติณณสุวัณโณ) วัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์วัดไผ่ ฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากบวชพระแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดสะแกดังเดิมวัดสะแกยุคนั้นแม้จะเลื่องชื่อลือชาในกิตติคุณของพระอาจารย์เฮง แต่ก็ใช่ว่าจะกลบกลิ่นหอมของคนดีไปเสียจนหมดสิ้น นามหนึ่งที่ใครหลายคนรู้จักดีก็คือ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกในหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น วัดพระญาติการาม เหมือนกัน และท่านพระอาจารย์สีนี้ก็ยังเป็นศิษย์น้องและศิษย์จริงของพระอาจารย์เฮงอีกด้วยเมื่อเป็นดังนี้ พระภิกษุนวกะอย่างพระชม จึงคิดเข้าหาพระอาจารย์สีมากกว่า เหตุหนึ่งเพราะท่านพระอาจารย์สีนี้ใจดีกว่า ดุน้อยกว่าพระอาจารย์เฮง ครั้งพระชมเข้าไปนมัสการพระอาจารย์สีขอถวายตัวเป็นศิษย์ องค์อาจารย์ก็เมตตารับโดยไม่รังเกียจ และเริ่มปฐมบทแห่งขลังด้วยการสอนให้พระใหม่ฝึกนั่งสมาธิภาวนา แรกนั่งท่านก็รู้สึกอึดอัดเบื่อหน่าย ด้วยใจท่านคิดว่าเรามาขอศึกษาวิทยาคุณกับหลวงพ่อท่าน แต่เหตุไฉนท่านจึงให้มานั่งหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ไม่เห็นจะได้อะไร คาถาสักตัวก็ยังไม่ได้ น่าเบื่อเหลือเกินก็ไม่ทราบหลวงพ่อสีทราบได้อย่างไร จึงสอนท่านว่า “ท่านชม วิชาไสยศาสตร์ใด ๆ ก็ดีล้วนมีพื้นฐานอยู่ที่สมาธิทั้งสิ้น วิชาที่จะทำแล้วมีความขลังก็ต้องอาศัยสมาธิจึงจะทำได้ผล”ด้วยคำแนะนำเชิงปลอบประโลมเช่นนี้ จึงทำให้พระภิกษุชมเกิดความตั้งอกตั้งใจในการบำเพ็ญกัมมัฏฐานยิ่ง ๆ ขึ้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่อสีเล็งเห็นว่าพระชมมีสมาธิดีในระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงเริ่มสอนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ให้เป็นลำดับ ๆ ไป และเมื่อการนั่งภาวนาของท่านมีผลแปลก ๆ บังเกิดขึ้น ถ้าไม่ถามเอาจากหลวงพ่อสี พระชมก็จะไปกราบเรียนถาม หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ แทน เพราะท่านได้ขึ้นกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อดู่ไว้ด้วยภายหลังท่านพระอาจารย์เฮงก็ลาสิกขาบทออกมามีภรรยาและลอยเรืออยู่ที่หน้าวัดสะแก อันเรือประทุนลำนี้อาจารย์เฮงห้ามขาดมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปได้เลย เหตุเพราะอาจารย์เฮงมีภรรยาที่สาวและสวยมาก ๆ ท่านจึงไม่ต้องการให้ใครได้พบเห็น คงอนุญาตอยู่เพียงผู้เดียวให้ลงไปกินเหล้ากับท่านในเรือได้อย่างเป็นกันเองที่สุด นั่นก็คือ อาจารย์ก้าน บำรุงกิจ น้องชายแท้ ๆ ของหลวงปู่สี พินทสุวัณโณ ซึ่งอาจารย์ก้านนี้สมัยบวชเป็นภิกษุก็มีพระอุปัชฌาย์เดียวกันกับอาจารย์เฮง คือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ และต่อมาอาจารย์ก้านก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์เฮงอีกด้วย
พระอาจารย์ชมจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกยาวนานถึง ๑๐ พรรษาเศษ ๆ ท่านก็ถูกคณะสงฆ์แต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่วัดบางเดื่อนี้เอง ท่านได้พบคัมภีร์เก่าโบราณอายุราว ๒๐๐ ปี ซึ่งเป็นสมบัติเก่าของวัดประดู่โรงธรรม สำนักตักศิลาใหญ่ทางศาสตร์วิชาต่าง ๆ มากมายเกินพรรณนา โดยเฉพาะวิชาทางไสยเวทย์ถือได้ว่าเป็นหอสมุดขลังซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก หากไม่เพราะพม่าเข้ามาเผาทำลายไปจำนวนมาก ลูกหลานไทยคงได้พบเห็นอะไรดี ๆ อีกเยอะครั้นหลวงพ่อชมได้ครอบครองคัมภีร์สำคัญ ท่านก็เฝ้าศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด พบว่าในตำรานั้นบันทึกวิชาการสร้างและเสก ตะกรุดโทน เบี้ยแก้ เชือกคาด เชือกแขน แหวนพิรอด การทำยาสมุนไพรและผงว่านต่าง ๆ มีทั้งการแก้และกันคุณไสยนานาประการ ยิ่งท่านศึกษาก็รู้สึกว่าตำรานี้มีความลึกซึ้งมาก แยบคายมาก ตอนใดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ท่านก็จะนำความเข้าไปกราบเรียนถามกับ พระครูศีลกิตติคุณ (อั้น คันธาโร) วัดพระญาติการาม บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่สี พินทสุวัณโณ บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บ้าง ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาพระคัมภีร์นี้
หลวงพ่อชมปกครองดูแลวัดและพระ-เณรที่วัดบางเดื่อถึง ๒๐ พรรษา จึงถูกนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาดิน ไม่ว่าท่านจะไปอยู่ที่ใด ท่านก็สร้างสรรค์ความเจริญทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจให้กับประชาชนในพื้นที่มาตลอด ทำให้ท่านเป็นที่รักและเคารพแก่คนทั่วไปอย่างยิ่งหลวงพ่อเคยออกวัตถุมงคลอย่างเป็นทางการมาหลายครั้ง เท่าที่พอจะสืบทราบได้ก็คือ๑. เหรียญรุ่นแรกสร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ออกที่วัดบางเดื่อ ลักษณะเหรียญจะคล้ายกับเหรียญมังกรคู่ของหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน จ.ปราจีนบุรี๒. เหรียญรุ่นหนึ่งปี พ.ศ. ๑๕๑๗ ออกที่วัดเขาดิน เป็นรูปหลวงพ่อนั่งเต็มองค์ ด้านล่างเป็นรูปปืนไขว้๓. พระผงรูปเหมือนลอยองค์ เหรียญพระพิมพ์ปรุหนัง พระผงปรุหนัง ทั้งหมดออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ดังนั้นถ้าท่านใดไปพบวัตถุมงคลตามรายการดังกล่าว ก็จงรีบไขว่าคว้าไว้เถิดเพราะเป็นของดีที่หาได้ยาก พระระดับนี้เสกของย่อมต้องป้องกันภยันตรายและเป็นเมตตามหานิยมได้อย่างดียิ่ง สำหรับเหรียญรุ่นหนึ่งที่ ๑๗ หากได้พบว่าที่พื้นเหรียญมีการตอกโค้ดเป็นเลขไทยว่า “๒๘” ได้โปรดทราบไว้เลยว่านั่นคือเหรียญที่ท่านเก็บเอาไว้กับองค์ท่านตั้งแต่ปีที่สร้างคือ พ.ศ. ๒๕๑๗ และท่านก็ปลุกเสกเรื่อยมาทุกวัน ๆ จนถึง ปีพ.ศ. ๒๕๒๘ นับแล้วก็ ๑๐ กว่าปี